ธุรกิจจะประสบความสำเร็จหรือไม่นั้นจะต้องมีความสามารถในการสร้างและรักษา 3 สิ่งนี้: กำไร (Profit), เงินสด (Cash Flow), สภาพคล่อง (Solvency) หากขาดข้อใดข้อหนึ่งไป นั่นเป็นสัญญาณเตือนสำหรับผู้ประกอบการ ว่า กิจการของท่านกำลังประสบกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก และ อาจนำไปสู่การล้มละลาย หรือ การปิดกิจการได้ เราจึงจะมาแนะนำวิธี วางแผนธุรกิจ ที่ครอบคลุมและทำให้ธุรกิจคุณเติบโตอย่างมั่นคง
ความสามารถในการทำกำไร (Profit)
ทำอย่างไรให้ธุรกิจได้กำไร ? เเน่นอน เป้าหมายของทุกคนในการเปิดกิจการเป็นของตัวเองคือ ต้องการสร้างกำไร แต่กำไรนั้นควรเป็นกำไรที่ยั่งยืน เมื่อเริ่มต้นธุรกิจนั้น อาจขาดทุนได้ในระยะสั้น เเต่เมื่อเวลาผ่านไป ธุรกิจควรมีกำไร ไม่เช่นนั้นเเล้ว เราจะเปิดกิจการไปเพื่ออะไร หากธุกิจที่เราทำนั้นไม่สามารถสร้างกำไรเข้ากระเป๋าเราได้เลย
ความสามารถในการทำกำไรนั้นไม่ได้วัดได้จากยอดขายเพียงอย่างเดียว ขายดี ต้นทุนค่าใช้จ่ายเยอะ ก้ไม่กำไร เพราะ กำไรนั้นเกิดจาก “ยอดขาย หักด้วย ต้นทุนและค่าใช้จ่าย” ดังนั้น เพื่อเพิ่มความสามารถในการทำกำไร เราจำเป็นที่จะต้องวางแผนการขาย ควบคู่ไปพร้อมควบคุมต้นทุน
ความสามารถในการสร้างกระเเสเงินสด (Cash Flow)
ยอดขายดี กำไรมากอาจไม่ได้หมายความว่า คุณมีเงินสดถือในมือเพื่อการใช้จ่ายเสมอไป กิจการอาจอยู่ต่อไปได้อีกหลายปี หากขาดทุนทางบัญชี เเต่มีเงินสดถืออยู่ในมือ (ดูยังไงกำไรจริงหรือหลอก: Accrual Basis Vs Cash Basis) ในทางกลับกัน กิจการอาจมีกำไรในทางบัญชี แต่ไม่มีเงินสดก็ได้ เพราะ กำไรทางบัญชีนั้นเกิดจากการปรับโครงสร้างหนี้ หรือ ปรับมูลค่าสินทรัพย์ ซึ่งเป็นธุรกรรมที่ไม่ได้ก่อให้เกิดเงินสด
การขาดเงินสดนี้ อันตรายมากกว่าการขาดทุนเสียอีก เพราะหากกิจการไม่มีเงินสดเเล้ว ก็ไม่สามารถซื้อวัตถุดิบมาผลิต หรือ ไม่สามารถชำระนี้เจ้าหนี้ได้ นำไปสู่การฟ้องร้อง และ การล้มละลายของกิจการในที่สุด (ขายดีแต่ไม่มีเงินสดใช้ เป็นไปได้ไง! รู้จักวงจรเงินสด และ 3 กฎเหล็กในการบริหารเงินสด)
ความสามารถในการสร้างสภาพคล่อง & ชำระหนี้สิน (Solvency)
การมีสภาพคล่องและสามารถเปลี่ยนสินทรัพย์เป็นเงินสดได้อย่างรวดเร็ว จะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับธุรกิจในช่วงเวลาที่ยากลำบาก เเต่ นอกจากกิจการจะอยู่ได้หากขาดทุนเพราะมีเงินสดเเล้ว อีกปัจจัยนึงคือการมีโครงสร้างหนี้ที่เหมาะสมอีกด้วย การมีสภาพโครงสร้างหนี้ที่เหมาะสม จะทำให้บริษัทไม่ต้องเเบกรับภาระมากเกินไปในการจ่ายเงินต้น และ ดอกเบี้ย
คุณอาจจะใช้ Interest Coverage Ratio เป็นตัวชี้วัดได้ว่าตอนนี้กิจการของคุณแบกรับหนี้สินอยู่มากน้อยแค่ไหน โดยInterest Coverage Ratio คำนวณจาก
Interest Coverage Ratio =
รายได้ก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี (EBIT) / ค่าดอกเบี้ยกู้ยืม (Interest Expense)
ยกตัวอย่างเช่น
บริษัทA กู้ยืมเงินมา 5ล้านบาท ดอกเบี้ย 3%ต่อปี (คิดเป็นดอกเบี้ย 150,000 บาท) โดยปี2019ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้ก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี อยู่ที่ 6 แสนบาท
Interest Coverage Ratio A = 600,000 / 150,000 = 4 เท่า
ในทางกลับกัน บริษัท B กู้ยืมเงินมา 5ล้านบาท ดอกเบี้ย 3%ต่อปี (คิดเป็นดอกเบี้ย 150,000 บาท)โดยปี2019ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้ก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี เพียงเเค่ 100,000 บาท
Interest Coverage Ratio B = 100,000 / 150,000 = 0.6 เท่า
ในกรณีนี้แสดงให้เห็นว่า บริษัทA นั้นทำรายได้เพียงพอต่อการจ่ายดอกเบี้ย เนื่องจาก Interest Coverage Ratio > 1 หรือ อีกนัยหนึ่ง EBIT นั้นมากกว่าดอกเบี้ยถึง 4 เท่า แต่ บริษัทB นั้นแบกรับหนี้ค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับรายได้ Interest Coverage Ratio < 1 เท่า
วิธีหนึ่งที่จะช่วยบรรเทาภาระนี้คือการที่ SME บวก Mark-up ในราคาขาย เพื่อช่วยคุณเก็บออมเงินจากยอดขายเพื่อการลงทุนในอนาคต หรือ เผื่อเหตุฉุกเฉิน แทนที่จะไปพึ่งพาเงินกู้ยืม
ดังนั้น คุณควร วางแผนธุรกิจให้ดีหมั่นเช็คหัวใจทั้งสามอย่างนี้ว่ายังทำงานดีอยู่หรือไม่ ทำอย่างไรให้ธุรกิจได้กำไร มีเงินสด และ มีสภาพคล่อง เพื่อสร้างสมดุลให้ธุรกิจ และ เติบโตได้อย่างยั่งยืน หากคุณสนใจเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวหัวข้อนี้ และ เพิ่มประสิทธิภาพหัวใจสามอย่างนี้
ติดต่อเรา ติดต่อเรา
🍄Muchroom Consultancy
📲Line@ https://lin.ee/vahBqeT
Comments