top of page
  • Writer's pictureTanasit J.

ขายดีแต่สต็อกจม เพราะไม่เคยวัด ROA

Updated: Mar 22, 2021

ถ้าคุณกำลังขายสินค้าให้กับลูกค้าของคุณไม่ว่าจะขายออนไลน์ หรือ มีหน้าร้าน คุณเคยคิดมั้ยว่า คุณทำธุรกิจมาสักพักแล้ว เเต่ทำไมไม่มีเงินใช้สักที ส่วนหนึ่งนั้นอาจเป็นเพราะ จำนวนสินค้าที่คุณถือนั้นอาจไม่พอดีกับรายได้ที่คุณสร้างได้

สต้อกสินค้า เท่าไหร่ดี เงินจมในสินค้าคงคลังหรือเปล่า? ROA บอกคุณได้

ระดับสินค้าคงเหลือ หรือ สต็อกสินค้า มีความสำคัญกับกำไรของบริษัทคุณมากกว่าที่คุณคิด เนื่องจากเป็นต้นทุนอย่างหนึ่งที่คุณต้องลงทุนอย่างต่อเนื่อง การมีสินค้าคงเหลือมากเกินจำเป็น มีผลโดยตรงกับกระเเสเงินสดของธุรกิจ เนื่องจากคุณต้องลงทุนมากเกินจำเป็นทำให้เกิดเงินจม และไม่มีเงินปันผลกลับสู่เจ้าของธุรกิจเท่าที่ควร ในทางกลับกันการมีสินค้าคงคลังต่ำเกินไป ก็จะทำให้คุณพลาดโอกาสที่เพิ่มยอดขายด้วยสินค้าที่ตอบสนองต่อความต้องการของตลาด


คุณคงมีคำถามว่า แล้ว คุณจะรู้ได้อย่างไรว่า คุณควรสั่งผลิตสินค้าเท่าใด และ เมื่อไหร่? คุณสามารถสังเกตุจาก Stock Life Time (SLT) เป็นประจำ เพื่อช่วยให้คุณเห็นภาพรวมของสินค้าคงหลังว่าสินค้าที่มีอยู่ปัจจุบันจะหมดไปในอีกกี่วัน



แต่! การขายมากขึ้นไม่ได้ช่วยให้ปัญหาสต๊อกจมหายไป เพราะ โดยมากแล้ว มักจะมีสินค้าส่วนน้อยของธุรกิจ ที่สร้างรายได้กว่า 80% ของยอดขาย ดังนั้นยิ่งคุณขายดีขึ้น ก็ยิ่งมีความเสี่ยงที่จะมีสินค้าไม่เพียงพอ ทำให้เกิด stock shortage หรือ สินค้าขาดตลาด ในขณะเดียวกันสินค้าที่เหลือ ซึ่งทำยอดขายได้แค่ 20% อาจกลายเป็นสต้อกค้าง และเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ หากวางแผนธุรกิจได้ไม่ดีพอ จนทำให้เกิดเงินจม

ถ้าคุณกำลัง หรือ เจอกับปัญหาที่กล่าวมา เราแนะนำให้คุณอ่านต่อไปอีกสักนิด สิ่งสำคัญที่ควรทำต่อไป คือ การทำให้แน่ใจว่า ธุรกิจของคุณมีสมดุลที่ดีระหว่างระดับสินค้าคงคลัง กับ ยอดขายที่สร้างได้เป็นประจำ


ในการที่จะทำได้นั้น เราอยากจะแนะนำให้คุณรู้จักกับ KPI อีกตัวหนึ่งที่สะดวกและมีประสิทธิภาพที่สุดที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในธุรกิจทั่วโลก นั้นคือ “Return on Asset” หรือ ROA ซึ่งจะช่วยบอกคุณได้ว่า คุณจัดการกับสินทรัพย์ หรือ ในที่นี้ คือ สินค้าคงคลังได้ดีแค่ไหน


ROA = รายได้สุทธิ/สินทรัพย์รวม


ยกตัวอย่าง ธุรกิจ A กำลังขายกระเป๋า สร้างยอดขายประมาณ 1 ล้านบาท ต่อ เดือน โดยกระเป๋า 1 ใบ มีต้นทุนอยู่ที่ คือ 1,000 บาท ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต่อการขายต่อเดือน คือ 4 แสนบาท และ สิ้นเดือนนี้ มีเสื้อเหลืออยู่ 500 ตัว

  • รายได้สุทธิ = ยอดขาย - ค่าใช้จ่าย = 1,000,000 - 400,000 = 600,000 บาท

  • สินทรัพย์ = 500 x 1,000 = 500,000 บาท

  • ROA = 600,000/500,000 = 1.2 เท่า


ROA ของธุรกิจA ณ สิ้นเดือนที่ผ่านมา คือ 1.2 เท่า หมายความว่า ทุกๆต้นทุน1 บาทลงทุนไปในกระเป๋าที่ขายได้ จะได้รับกลับมาเป็นรายได้ของคุณ 1.2 บาท คุณสามารถลองเปรียบเทียบกับธุรกิจอื่น ๆในอุตสาหกรรมเดียวกันเพื่อเปรียบเทียบกับธุรกิจคุณเอง


แต่นี่คือสิ่งที่เราแนะนำให้คุณทำ ...


วิธีที่ดีที่สุดในการปรับปรุงคือการเอาชนะตัวเอง เราขอแนะนำให้คุณคำนวณROAอย่างสม่ำเสมอ อาจจะเป็นทุกไตรมาส หรือ 6 เดือน เพื่อดูว่า ROA เคลื่อนไหวอย่างไร สิ่งเดียวที่คุณต้องจำไว้คือ ROA บ่งชี้ว่าธุรกิจของคุณทำกำไรได้มากเพียงใด ยิ่งตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นความสามารถในการทำกำไรของคุณก็จะเพิ่มมากขึ้นด้วย


สำหรับคนที่ ROA ติดลบ หรือ น้อยกว่า 1 เราอยากให้คุณหยุดสักแปบ แล้วหายใจเข้าลึก ๆ เราแนะนำให้คุณหยุดการซื้อ และ ผลิตสินค้าเพิ่มเติม และวิเคราะห์ "สต๊อกสินค้า" ของคุณว่ามีความสามารถในการทำกำไรมากน้อยเเค่ไหน (5 เทคนิคบริหารสินค้าคงคลังให้มีประสิทธิภาพ) ตอนนี้คุณกำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่สต๊อกสินค้าไม่ได้สร้างรายได้มากเท่าที่คุณคิด เราคิดว่าคุณอาจประสบปัญหากระแสเงินสดในไม่ช้าหรือ เงินจม ลองอ่านเพิ่มที่ บทความ Margin คือ อะไร? การควบคุม Margin และ สร้าง Markup เพื่อรักษาเงินสด & สร้างเงินสำรอง

 

ในการพัฒนาธุรกิจของคุณต้องกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนและรักษาไว้ในระดับที่เหมาะสม การรักษาความสมดุลระหว่างรายได้กับระดับสินค้าคงคลังไม่ควรถูกมองข้าม และ เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณตัดสินใจทางธุรกิจได้อย่างชาญฉลาดและเติบโตอย่างยั่งยืน


หากคุณสนใจเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวหัวข้อนี้ และ การวางรากฐานให้ธุรกิจของคุณเติบโตได้อย่างเป็นระบบ

ติดต่อได้ที่

- ☎️ Tel: 082-221-3441

- 📧 email: muchroom.consultancy@gmail.com

Comments


bottom of page